วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Train to Busan



"โลกที่เราอยู่...คือโลกที่เราสร้าง"

วันนี้ในกรุงเทพและต่างจังหวัดหลายๆ แห่งยังคงผจญกับภาวะฝุ่น PM 2.5 หนาแน่น อากาศที่หายใจเข้าไปเป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้ เด็ก และผู้สูงอายุ ทุกคนตื่นตัวกันมากขึ้นเมื่อสื่อเริ่มพูดถึงอันตรายของฝุ่นละอองที่แพร่กระจายอยู่ทั่วไป ทำให้หน้ากาก N95 ขาดตลาดอย่างรวดเร็วและมีราคาสูงขึ้น

เหตุการณ์แบบนี้ทำให้คิดถึงหนังเกาหลีเรื่องหนึ่งที่เคยดูในโรงเมื่อ 2 ปีก่อน “Train to Busan” จำได้ว่าเป็นหนังที่สนุกและดีงามมากเรื่องหนึ่ง

เรื่องราวในหนังไม่ได้เกี่ยวกับภัยธรรมชาติ แต่พูดถึงการทดลองที่ผิดพลาดของบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายจากสัตว์สู่คน ความน่ากลัวคือผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้จะตายและกลายเป็นผีดิบ

ตัวเอกของเรื่องคือ “ซอกวู” ผู้จัดการกองทุนในบริษัทใหญ่ที่มีหน้าที่การงานดี ดูประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ชีวิตครอบครัวของเขากลับตรงกันข้าม เขาหย่าขาดกับภรรยาแล้วและกำลังพา “ซูอัน” ลูกสาวคนเดียวขึ้นรถไฟไปหาแม่ของเธอที่ปูซาน

ซูอันไม่อยากอยู่กับพ่อที่ไม่มีเวลาให้ เธอเคยได้ยินคนพูดถึงพ่อว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเงิน จะเถียงก็ไม่ได้เพราะในความเป็นจริงซอกวูก็ทำตัวแบบนั้น

นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ซูอันอยากกลับไปหาแม่ แต่ก่อนจะถึงปูซานก็เกิดเรื่องน่ากลัวขึ้น เพราะเชื้อไวรัสระบาดหนัก มีผู้ติดเชื้อหนีขึ้นมาบนรถไฟและกัดผู้โดยสารในขบวนเข้า ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง สาม สี่… และมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด


คนที่ถูกกัดแล้วจะเปลี่ยนสภาพเป็นผีดิบ จากเหยื่อกลายเป็นผู้ล่า สมกับชื่อหนังภาษาไทยว่า “ด่วนนรก ซอมบี้คลั่ง” วิ่งกันทั้งเรื่อง จำได้ว่าสนุกและลุ้นจนลืมหายใจในหลายๆ ฉาก

หนังทำได้ดีในการดึงอารมณ์คนดูให้ตื่นเต้นเป็นช่วงๆ และไม่ทิ้งความรู้สึกละเอียดอ่อนในการถ่ายทอดเรื่องราวความรักของพ่อที่มีต่อลูก ความรักระหว่างสามีภรรยา และมิตรภาพที่เพื่อนมีให้เพื่อน

และยังแสดงให้เห็นอีกด้านที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ในช่วงเวลาคับขันของชีวิต เมื่อเราวิ่งหนีความตาย ชีวิตของคนอื่นกลายเป็นสิ่งด้อยค่า เราเลือกรักษาสิ่งที่สำคัญของตนเองไว้ก่อนเสมอ นั่นคือชีวิตของเรา…และคนที่เรารัก

ตอนต้นเรื่อง ในขณะที่ทุกคนหนีผีดิบบนรถไฟ ซูอันยังมีน้ำใจแบ่งที่ให้คนแก่นั่งพัก ซอกวูเมื่อเห็นลูกทำแบบนั้น ด้วยความเป็นห่วงกลัวลูกจะลำบากเพราะช่วยคนอื่น เขาจึงสอนเธอว่า

“ซูอัน เวลาแบบนี้ไม่ต้องทำตัวเป็นเด็กดีนะลูก ตอนนี้ห่วงแค่ตัวเองก็พอแล้ว เข้าใจไหม”

ซูอันมองหน้าพ่อแล้วตอบว่า “เวลาอยู่บ้านหนูเห็นคุณย่าปวดเข่าบ่อยๆ”

ฟังคำตอบของซูอันแล้วเราก็พอจะรู้ว่าเธอเป็นเด็กเอื้ออาทรที่รู้จักคิดถึงจิตใจคนรอบข้าง เราจะทำอะไรเพื่อใครไม่ได้เลย ถ้าเราไม่เอาใจของเราไปใส่ในเหตุการณ์ของเขาและคิดว่า “ถ้าเราเป็นเขาหรือเป็นคนที่เรารักจะรู้สึกอย่างไร”

หน้ากาก N95 ที่ทุกคนต้องการมากตอนนี้ทำให้รู้ว่าของบ้านเราไม่มีราคากลาง สุดแล้วแต่ว่าใครจะตั้ง เราคนไทยมีหัวด้านการทำมาหากินและรักที่จะค้าขาย คนมีเงินซื้อได้ แต่คนยากจนไม่มีสตางค์พอจะซื้อ หรือบางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปถึงพิษภัยของฝุ่นที่มี

แต่เราก็ได้เห็นคนซื้อหน้ากากอนามัยมาแจกคนอื่น หลายเพจทำกิจกรรมแจกหน้ากากฟรี ร้านค้าบางร้านขายหน้ากาก N95 ในราคาถูกที่ดูราคาก็รู้ว่าไม่ได้หวังเอากำไร หลายหน่วยงานทำคลิปออกมาแนะนำวิธีป้องกันฝุ่น หรือแม้กระทั่งตรุษจีนที่ไม่มีการเผากระดาษเงินกระดาษทองเพื่อไหว้เจ้า

สถานการณ์ฝุ่นทำให้เรามองเห็นอะไรได้หลายอย่างเหลือเกิน แต่เห็นแล้วเราตอบตัวเองได้หรือไม่ว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูแลหรือรังแกโลก

เพราะสุดท้ายแล้วเราจะปฏิเสธได้อย่างไรว่าตัวเราเองไม่ได้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสถานการณ์ฝุ่นพิษอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

เรากำลังวิ่งหนีซอมบี้กันอุตลุด ในโลกที่เราเป็นคนสร้าง


#Train to Busan
#ฝุ่นPM2.5
#หน้ากากN95
#สนามอ่านเล่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น