เคยมีคนพูดไว้ว่า เราอาจเป็นแค่ใครคนหนึ่งบนโลกใบนี้ แต่สำหรับคนบางคน…เราอาจจะเป็นโลกทั้งใบของเขาก็ได้ เพียงแต่เราจะรู้ตัวหรือไม่เท่านั้น
เหมือนในเรื่อง “ You are my sunshine” ที่บอกเล่าเรื่องราวความรักของ “เหออี้เฉิน” และ “จ้าวโม่เซิง” ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากภาพถ่ายสองใบ จุดเริ่มต้นสองครั้ง กับคนสองคน
เรื่องราวของเขาและเธอเริ่มต้นแบบย้อนกลับ เมื่อรูปถ่ายของโม่เซิงที่อี้เฉินพกติดตัวไว้ตลอดเวลาทำให้เขาและเธอได้มีโอกาสกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง หลังจากเลิกราและจากกันไปนานถึง 7 ปี ถ้าเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้คนสองคนรักกัน แล้วเพราะอะไรที่ทำให้พวกเขาแยกจากโดยไม่ร่ำลา
โม่เซิงในวันที่มีความรักเมื่อเจ็ดปีก่อน เธอเป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารัก สดใสร่าเริง เกิดมาไม่เคยลำบากเพราะเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใดๆ ให้ต้องกังวล วันหนึ่งขณะกำลังเดินถ่ายรูปรอบๆ มหาวิทยาลัย เธอเห็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีคนหนึ่งเข้าเลยแอบถ่ายรูปของเขาเก็บไว้
เจ้าของรูปถ่ายควรเป็นใคร เป็นของคนถ่ายหรือคนถูกถ่าย แต่สำหรับโม่เซิง…เธอพยายามเอารูปที่เธอถ่ายไปให้เขา…อี้เฉิน คนหัวดีเรียนเก่งที่สุดในคณะ มีความสามารถจนหลายคนต้องอิจฉา แต่เพราะฐานะทางบ้านของอี้เฉินไม่ดีนัก เขาจึงตั้งใจเรียนมากและไม่สนใจเรื่องความรัก
เมื่อโม่เซิงเอารูปมาให้และแสดงออกว่าชอบเขา พอมีเวลาว่างก็คอยตามมาอยู่ใกล้ๆ ในทุกที่ อี้เฉินที่แสดงออกอย่างเฉยชาในตอนแรกก็ค่อยๆ ยอมรับในตัวโม่เซิง ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ต่างรู้สึกเหมือนกันว่าโม่เซิงช่างเป็นผู้หญิงใจกล้าที่จีบผู้ชายก่อน เลยทำให้อี้เฉินต้องยอมเป็นแฟนด้วยอย่างเสียไม่ได้เพราะโม่เซิงคอยตามเขาต้อยๆ ขนาดนั้น
แต่เมื่อวันหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาและเธอจากกันไป ในวันที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง โม่เซิงก็ได้แต่แปลกใจว่าทำไมในกระเป๋าสตางค์ของผู้ชายที่เย็นชาแบบอี้เฉินถึงยังเก็บรูปเธอไว้ มันเจ็ดปีแล้ว…เป็นเจ็ดปีที่ยาวนานเหลือเกินสำหรับเธอ
เมื่อมีความรัก…การแสดงออกของคู่รักแต่ละคู่ไม่เหมือนกัน คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการแสดงความรักต่อกันเป็นสิ่งดีที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักคู่นั้นอบอุ่นขึ้น
แต่ในความรัก…คนที่แสดงออกน้อยกว่าไม่ใช่คนที่รักน้อยกว่าเสมอไป
เราไม่สามารถวัดปริมาณความรักของใครได้โดยดูจากการแสดงออกของเขา เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความสัมพันธ์ที่เรามีอยู่นั้นมัน “จริง” แค่ไหน
เมื่อห่างกันไปแล้วยังคิดถึงกันอยู่หรือไม่ โลกของเราดูอ้างว้างแค่ไหนเมื่อไม่มีเขา
นั่นคือคำถามที่เหออี้เฉินและจ้าวโม่เซิงต่างก็อยากรู้คำตอบของอีกฝ่าย…เช่นกัน